ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่องที่แนะนำ

7 เหตุผลในการพาลูกเที่ยวยุโรปในหน้าหนาว

 การเที่ยวยุโรปในหน้าหนาวฟังดูเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากในการพาลูกที่อายุน้อยๆ ไปเที่ยวด้วย แต่สำหรับผมการเที่ยวในหน้าหนาวได้อะไรมากกว่าที่คิด 1. เที่ยวได้สบายๆ นักท่องเที่ยวน้อยมากทำให้ไม่แออัดยัดเยียด สามารถ ถ่ายรูปและถ่าย VDO ได้สบายๆ 2. เด็กๆ ได้เล่นหิมะ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินขึ้นกระเช้าไปบนเขา แค่ส่วนในเมืองหรือในสวน เด็กๆ ก็เล่นสนุกได้ทั้งวันแถมยังปลอดภัยในการดูแล 3 . ราคาที่พักราคาถูก ในหน้าหนาวราคาโรงแรมและ Airbnb  จะถูกไปหมดโดยเฉพาะในสวิส ราคาจะเหลือ 30 % ในช่วง High Season 4. Christmast Market ในฤดูหนาวในยุโรปมีเกือบทุกเมืองและสวยมากๆ ครับ ในเมืองจะมีการแต่ง ไฟฉลองกันทั้งเมือง 5. วิวสวยมาก สำหรับคนที่ชอบหิมะ โดยเฉพาะวันที่อากาศเปิด 6.  ของทุกอย่างราคาถูกหมด ห้างใหญ่ในยุโรป Sale กันหมด โดยเฉพาะ boxing day ถิอว่าเป็นสวรรค์ของนัก shop เลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งของกินตามร้านอาหารก็ถูกกว่าช่วง high season มาก 7. Winter sport เป็นสวรรค์ของนักสกีและ บอร์ดเลยครับ สามารถหา slope ที่ท้าทายกับหิมะฟูๆ เล่นได้ไม่รู้จบทั่งใน สวิส

รีวิว bePro Power Meter : hand-on review

bePro เป็น power meter รายใหม่จาก  Italy ที่มาแรงมาก ลักษณะการวัดโดยใส่ sensor ไปที่บันไดของจักรยาน ความน่าสนใจอยู่ที่สามารถวัดได้สองขาคือซ้ายและขวาที่สำคัญราคาต่ำกว่าคู่แข่งเจ้าของตลาดอยู่พอสมควร ที่สำคัญโฆษณาว่าสามารถถอดไปใส่จักยานคันอื่นในครอบครองได้ง่ายมากๆ เราลองมาดูกันดีกว่าครับว่าสมราคาหรือเปล่า




ปกติผมเป็นคนที่ใช้ Stages  power meter อยู่เป็นประจำ แต่เนื่องจาก Cervelo P3 ที่ใช้อยู่ช่องว่างระหว่างขาจานกับเฟรมน้อยมากทำให้ ช่องใส่ถ่านของ Power power เกือบจะเสียดสีกับเฟรม การได้ bePro มาใช้จะเป็นการตอบโจทย์ตัวนี้

เริ่มต้นจากกล่องที่ใส่ดูดีมากสมราคาของหลักหมื่น กล่องประกอบด้วย บันไดที่ติด sensor และอุปกรณ์ในการประกอบเข้ากับจักรยาน น้ำหนักรวมทั้งกล่องประมาณ 2  kg  เรียกว่าอุปกรณ์ให้มาเยอะจริงๆ เรียกว่าประทับใจแบรนด์นี้ครับ คู่มือที่ให้มาตอนแรกรู้สึกว่าทำไมมันบางจัง แต่พอได้ลองใช้ก็พบว่าอ่านง่ายมากๆ ครับ และเพียงพอกับการใช้งานครับ










การติดตั้ง

เริ่มต้นจะต้องมีการวาง alignment  ของ sensorให้ตรงกันทั้งซ้ายขวา หากมีการบิดไปจากแนวแรงค่าที่ได้จะมีการคลาดเคลื่อนครับ เริ่มต้องจากการติตตั้งแกนและติด sticker บอกแนว โดยขีดบน power meter จะต้องตรงกับแนวเส้น จากนั้นจึงขันเข้าไปโดยทิศทางการขันจะต้องให้ตรงกับที่บอกไว้ในที่หมุน เวลาไขให้แน่นพอประมาณครับ เวลาปั่นจะแน่นเข้าไปเองครับ จะมีแหวนตัวในไว้ช่วยในการปรับตำแหน่งให้ตรงกับขีดครับ











การใช้งาน

การใช้งานครั้งแรกจะต้อง charge โดยใช้ micro  USB ในคู่มือแจ้งว่าใช้ใน 20 ชม ซึ่งก็เพียงพอกับการปั่นแบบปกติ ตามคู่มือแจ้งว่า  Charge ไปได้ 600  ครั้งความจุของแบตจะลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดว่าชาร์ตทุกอาทิตย์ จะได้ประมาณ 12 ปี ซึ่งนานรับได้ครับ ถ้า  low bat จะแจ้งที่ garmin  จะปั่นต่อได้  6  ชม ครับ


ครีทที่แถวมาให้เป็น ของ look  จากการลองใช้โดยส่วนตัวที่คุ้นกับ ครีท สีน้ำเงินของ shimano ว่าหลวมไปนิดครับ  ข้อควรระวังควรจะปรับตำแหน่งครีทให้พอดี เวลาถอดจะได้ไม่โดนตัว bePro ของผมโดนไปเรียบร้อยแล้วเศร้าเลยครับ







Calibration

เนื่องจากเป็นระบบ strain gage จึง sensitve กับ อุณหภูมิ ก่อนปั่นทุกครั้งจึงควร  static calibrate โดยการวาง sensor   ไว้แนวดิ่ง แลัวกด calibarte ใน  garmin Edge




อีกอันนึงคือการทำ dynamic calibration ทำได้โดย ปั่นถอยหลังสัก 15 รอบ ตัว sensor จะไฟค้างไม่กระพริบ จากนั้นให้ปั่นรอบขาที่ 80 ประมาณ 40 วินาที sensor จะมีไฟกระพริบและส่งค่า watt  มาที่ garmin






จากการทดสอบบน trainer  เบื้องต้นพบว่าสัญญาณที่ได้ดีมาก คือจะส่งสัญญาณ ANT+ คือค่า watt และรอบขา สามครั้งต่อวินาที ค่าที่ได้ละเอียดและนิ่งกว่า  stages อย่างเห็นได้ชัดครับ

Software


Power meter จะติดต่อกับ computer ผ่านทาง mini USB ง่ายมากครับ ถ้ามีสองข้างก็เสียบพร้อมกันสองช่องเลยครับ การปรับแต่งค่าต่างๆ ทำได้ง่าย พร้อมทั้งบอกสถิติการหมุน รวมทั้ง calibrate ที่ทำไปแล้ว

ข้อดี

  • ราคาถูก
  • ถอดไปใส่จักรยานคันอื่นได้ง่าย
  • ติดตั้งง่าย
  • สัญญาณคงที่มากและได้ค่าละเอียด
  • วัด watt  ได้ทั้งสองข้าง

ข้อเสีย

  • เป็นรอยได้ง่ายเนื่องจากอยู่ตรงบันได
  • ฝาปิดรู  USB ดูไม่ค่อยแข็งแรง
  • ครีทจะปลดยากหน่อย แต่ใช้ไปสักพักจะชินครับ



SaveSave

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม